Drew Houston คือนักธุรกิจหนุ่มวัย 35 ปี ผู้เป็น CEO & Co-Founder ของ Dropbox แพลตฟอร์มในการเก็บและแบ่งปันไฟล์บนระบบ Cloud ที่มีผู้ใช้งานมากกว่า 500 ล้านคน และมีรายได้ปีละกว่า 1000 ล้านเหรียญ
Drew ได้นั่งรถบัสเพื่อเดินทางจากบอสตันไปนิวยอร์คแล้วเขาก็นึกได้ว่าลืมแฟลชไดรฟ์ที่เก็บข้อมูลสำคัญไว้ที่บ้านขณะที่เดินทางมาได้เกินครึ่งทางซึ่งสายเกินกว่าจะวกกลับไปเอาแล้ว ความหงุดหงิดที่เกิดขึ้นนำไปสู่ความรู้สึกว่าการใช้แฟลชไดรฟ์เก็บข้อมูลแบบพกพานั้น ยังไม่สะดวกพอ เขาจึงเกิดแนวคิดใหม่ที่ว่าชีวิตคงจะง่ายขึ้นมากถ้าทุกคนสามารถเข้าถึงข้อมูลสำคัญในเวลาไหนก็ได้บนเครื่องมืออะไรก็ได้รวมถึงสามารถอัพเดตแก้ไขทุกอย่างได้แบบ Real time Drew จึงเขียนโค้ดต้นแบบคร่าวๆ สำหรับโครงการนี้ พร้อมทำวิดีโอสาธิตการใช้งานเพื่อไปโพสต์ลงอินเตอร์เน็ตจนนำไปสู่การ่วมทุนและเกิดเป็นสตาร์ทอัพที่มาแรงและเติบโตอย่างสุดๆ ในเวลาต่อมา
โดยในตอนแรกที่ก่อตั้งขึ้น มีเพียง Drew กับ Arash Ferdowski นักศึกษา MIT ที่ตัดสินใจเลิกเรียนกลางคัน เพื่อหันมาเอาดีกับการสร้าง Startup เปลี่ยนโลกอันนี้ หลังจากได้ดูวีดีโอ Demo และ พูดคุยกับ Drew แค่สองชั่วโมงเท่านั้น
ซึ่งหนึ่งในสาเหตุสำคัญ ที่ทำให้ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว เพราะข้อเสนอของ Paul Graham ผู้ก่อตั้ง Y-Combinator หนึ่งใน Accelerator ที่มีชื่อเสียงที่สุด บอกกับ Drew ว่าจะรับเขาเข้าโปรแกรมก็ต่อเมื่อ – สามารถหาผู้ร่วมก่อตั้งได้เท่านั้น
เส้นทางในการทำ Startup นั้นเหมือนรถไฟเหาะตีลังกา ที่เปลี่ยนแปลงเร็วมากๆ ทั้งขึ้นสุดลงสุด และผาดโผน การมีสองหัวไว้ช่วยกันรับมือกับความท้าทายที่ไม่คาดคิดน่าจะเอาอยู่กว่ามีแค่หัวเดียว Drew จึงต้องหาผู้ร่วมก่อตั้งให้ได้ ภายในเวลาไม่ถึงสองอาทิตย์
โดย Paul Graham
การตัดสินใจอย่างพลันด่วนของทั้ง Paul, Drew และ Arash ในครั้งนั้น ก็ได้รับการพิสูจน์ให้เห็นว่าถูกต้อง ใน 10 ปีถัดมา เมื่อหุ้นของ Dropbox เข้าซื้อขายในตลาด NASDAQ ในวันที่ 22 มีนาคม 2018 หลังจากที่ Drew Houston CEO และ ผู้ก่อตั้ง เพิ่งฉลองวันเกิดครบรอบ 35 ปีได้ไม่กี่อาทิตย์เท่านั้น โดยปัจจุบัน บริษัทนี้ มีมูลค่าราว 11,000 ล้านเหรียญ และ Drew Houston มีถูกประเมินว่ามี ทรัพย์สินราว 3,500 ล้านเหรียญ เป็นความสำเร็จไม่ชั่วข้ามคืน ของ Drew Houston
Drew ยอมรับว่าเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ Dropbox ประสบความสำเร็จได้คือการตัดสินใจเริ่มต้นเร็วในช่วงเวลาที่ตลาดยังไม่มีการแข่งขันสูงเพราะในยุคนั้น บริษัทยักษ์ใหญ่มักมองข้ามไม่คิดว่าสตาร์ทอัพเป็นคู่แข่งขณะที่ในช่วงสิบปีที่ผ่านมาก็เปิดโอกาสให้เขามีเวลามากพอที่จะค่อยๆ เรียนรู้ทักษะการบริหารและพัฒนาศักยภาพของตัวเองซึ่งสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่เขาเรียนมาโดยตรงเพราะเจ้าตัวเชื่อว่าสิ่งสำคัญที่สุดที่จะพัฒนาตัวเองได้ก็คือการฝึกฝนในสถานการณ์จริงนั่นเอง
ซึ่งถือว่าเป็นแนวคิดที่สุดยอดๆมากๆครับ ทำให้รวยได้ในเวลาอันสั้น ถือว่าเป็นสิ่งที่ท้าทายและน่าตื่นเต้นมากๆครับ
ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่ TOMITECH
