Steve Jobs ผู้ก่อตั้ง Apple ผู้เปลี่ยนแปลงวงการไอทีของโลก

Steve Jobs

ขอบคุณรูปภาพจาก DMT

Steve Jobs ผู้นำทศวรรษ 21 อัจฉริยะผู้พลิกโลกแห่งวงการไอที เป็นผู้นำธุรกิจและนักประดิษฐ์ชาวอเมริกัน สร้างนวัตกรรมใหม่ๆ ด้วยความคิดสร้างสรรค์ชั้นเลิศ

เป็นผู้คิดค้นคอมพิวเตอร์ Mac และเป็นสุดยอด CEO ผู้บุกปั้น Apple ผู้สร้างสรรค์ iPhone, iPad, iPod แม้ว่าในวันนี้เขาจะจากโลกนี้ไปแล้ว แต่สิ่งที่เขาสร้างเอาไว้ยังคงอยู่ และเปลี่ยนแปลงโลกของไอทีไปตลอดกาล

ชีวิตเมื่อวัยเยาว์

เมื่อเขาอายุได้ 5 เดือน Steve Jobs จึงได้ย้ายมาอยู่ที่เมืองเมาน์เทนวิว รัฐแคลิฟอร์เนีย ซึ่งเรียกได้ว่าเติบโตมาในพื้นที่ที่เรียกว่า Silicon Valley เป็นแหล่งอุตสาหกรรมซอร์ฟแวร์และบริษัทไอทีชั้นนำของโลก โดยพ่อบุญธรรมของ สตีฟ จอบส์ นั้นทำงานเป็นช่างเครื่องบริษัทแห่งหนึ่งในท่าเรือ และมีร้านช็อปเล็ก ๆ ไว้ซ่อมอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่บริเวณข้างบ้านของเขา

และเริ่มสอนให้สตีฟประกอบชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ทำให้เด็กชายตัวเล็ก ๆ เริ่มซึมซับด้านอิเล็กทรอนิกส์เป็นอย่างดี ส่วนคุณแม่ของเขาก็ฝึกให้เขาสามารถอ่านและเขียนได้ตั้งแต่ก่อนเข้าโรงเรียนซะอีก

แถมยังมีเพื่อนบ้านที่เป็นวิศวกรที่มีความเชี่ยวชาญด้านอิเล็กทรอนิกส์ซึ่งทำงานอยู่ที่บริษัท Hewlett-Packard(HP) ซึ่งคอยให้ความรู้เกี่ยวกับเรื่องของอิเล็คทรอนิกส์แก่ Steve Jobs อย่างมากมาย นี่ถือได้ว่า ทั้งสภาพแวดล้อมและการดูแลของครอบครัวนั้น ส่งผลให้กลายมาเป็น Steve Jobs ตำนานแห่งวงการการไอทีอย่างเฉกเช่นทุกวันนี้

สตีฟ จอบส์ เริ่มเข้าเรียนในโรงเรียน Cupertino Junior High School และ Homestead High School ในรัฐแคลิฟอร์เนีย ซึ่งเขาได้ฉายแววความเฉลียวฉลาดมาตั้งแต่เด็ก จนเมื่อเรียนถึงชั้นเกรด 4 (ป.4) คุณครูที่โรงเรียนก็เสนอให้เขานั้นข้ามชั้นไปเรียนชั้นเกรด 7 ระดับมัธยมได้เลย และในระหว่างเรียนที่นี่ เขาก็ได้มีโอกาสไปทัศนศึกษาที่ บริษัท Hewlett-Packard

ก้าวแรกที่มีคนเห็นแวว Steve Jobs

และมีโอกาสได้เจอกับ CEO โดย สตีฟ จอบส์ ทำให้ CEO ของ HP ทึ่งในความรู้ความสามารถ ในการตอบคำถามเกี่ยวกับเรื่องอิเล็กทรอนิกส์ได้ จน CEO ถูกใจ เขาจึงว่าจ้างให้ สตีฟ จ็อปส์ ไปฝึกงานกับบริษัท

และได้ทำงานร่วมกับ สตีฟ วอซเนียก (Steve Wozniak) รุ่นพี่ที่โรงเรียน Homestead High School เหมือนกัน และในเวลาต่อมาทั้งคู่ก็กลายเป็นผู้ร่วมสถาปนาอีกคนของบริษัท Apple ที่เป็นตำนานนี้นี่เอง

ต่อมาในปี 1974 Steve Jobs ก็ได้เดินทางกลับแคลิฟอร์เนีย และได้เข้าร่วมกลุ่มสมาคม Homebrew Computer Club ที่รวบรวมผู้คนที่สนใจเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ ซึ่งหลาย ๆ คนในกลุ่มนี้ มักกลายเป็นแฮคเกอร์มือฉมังไม่ก็เป็นผู้ประกอบการด้านไอทีซะซ่วนใหญ่ และสตีฟ จอบส์ ก็ได้มีโอกาสเข้าไปทำงานกับ Atari ผู้ผลิตวีดีโอเกมรายหนึ่ง 

ทาง Atari ได้มอบหมายให้ Steve Jobs นั้น ออกแบบแผงวงจรอิเล็คทรอนิกส์ใหม่ โดยหากสามารถออกแบบให้มีจำนวน ship ลดลงได้ จะได้โบนัสเพิ่มตัวละ 100 ดอลล่าร์

แต่เขาก็ไม่ค่อยสันทัดเรื่องแผงวงจรสักเท่าไหร่ เลยไปเสนอกับ Steve Wozniak ว่า ถ้าหากสามารถออกแบบได้สำเร็จ จะแบ่งเงินโบนัสให้เท่า ๆ กัน จนในที่สุด สตีฟ วอซเนียก สามารถลดจำนวน ship ออกได้มากถึง 50 ตัว แน่นอนว่า สตีฟ จอบส์ ได้เงินโบนัสมาจำนวน 5,000 ดอลล่าร์ฯ 

การคิดค้นสุดแหวกแนว

และหลังจากนั้น สตีฟ จอบส์ ก็เริ่มแผนการสุดแสบแบบทวีคูณเพิ่มขึ้นไปอีก โดยร่วมกันกับ สตีฟ วอซเนียก ได้สร้างเครื่องที่ชื่อว่า bluebox ซึ่งเป็นเครื่องที่สามารถทำให้ใช้โทรศัพท์ได้ฟรี ทั่วโลก แถมจะโทรกี่นาทีก็ไม่เสียเงินสักแดงเดียว ซึ่งมันเป็นเครื่องส่งความถี่ที่เอาไว้หลอกสมัยที่โทรศัพท์ยังไม่ได้ปรับเป็นระบบดิจิตอล

แถมยังสืบเสาะหาต้นตอไม่ได้อีกด้วย ว่ากันว่า พวกเขาสามารถทำเงินจากกิจการนี้ โดยไม่ถูกจับกุม ได้มากกว่า 6,000 ดอลล่าร์เลยทีเดียว ซึ่ง สตีฟ จอบส์ เคยออกมาให้สัมภาษณ์ครั้งหนึ่งว่า หากพวกเราไม่ได้เรียนรู้การสร้างผลิตภัณฑ์และการขายจากธุรกิจ bluebox ก็คงไม่มี Apple ในวันนี้ เพราะพวกเราเรียนรู้อะไรหลาย ๆ อย่างจากธุรกิจนั้นมาอย่างมากมาย ไม่ว่าจะเป็น โดยการมีผลิตภัณฑ์ที่สร้างสรรค์กว่า สามารถแข่งขันในตลาดและต่อกรกับบริษัทใหญ่ ๆ ได้

จนในปี 1976 เมื่อเขาอายุได้ 21 ปี เขากับ สตีฟ วอซเนียก ก็ได้ร่วมกันก่อตั้งบริษัทแอปเปิ้ล โดยใช้โรงรถข้างบ้านของพ่อบุญธรรมเป็นออฟฟิศ และผลิตคอมพิวเตอร์ที่ชื่อ Apple I ที่ทำด้วยไม้ โดยวอซเนียก เป็นผู้ออกแบบสินค้า ส่วนจ็อบส์ทำหน้าที่นักการตลาด และตั้งราคาไว้ที่ 666.66 ดอลลาร์ และในไม่นานเขาก็สามารถขายคอมพิวเตอร์กับร้านท้องถิ่นได้มากกว่า 50 เครื่อง 

และในปี 1977 ก็ได้ผลิตเครื่องคอมพิวเตอร์ Apple II ออกมาตอกย้ำความสำเร็จอีกครั้ง โดยครั้งนี้ ไฉไลกว่าเดิม เป็นคอมพิวเตอร์ถูกออกแบบด้วยการห่อหุ้มด้วยกรอบพลาสติก พร้อมหน้าจอ มีดิสก์ไดรฟ์ จัดว่าเป็นช่วงปฎิวัติคอมพิวเตอร์ในยุคแรก ๆ  

จนในวันที่ 12 ธันวาคม ปี 1980 Apple ก็ได้เข้าสู่การเป็นบริษัทมหาชน โดยได้เปิดขายหุ้นให้กับบุคคลทั่วไป กว่า 5 ล้านหุ้น และถูกกว้านซื้อเกลี้ยงภายในไม่กี่นาที ทำให้มูลค่าบริษัทกระโดดขึ้น 32 เปอร์เซ็นต์ในวันแรก ทำให้ สตีฟ จอบส์ ในวัย 25 ปีและวอซเนียกในวัย 30 ปี กลายเป็นมหาเศรษฐีภายในข้ามคืน

และในปี 1983 สตีฟ จอบส์ ก็ต้องการทำให้บริษัทขยายกิจการและเติบโตมากยิ่งขึ้น จึงได้ว่าจ้าง CEO มืออาชีพ โดยได้ส่งข้อความไปยัง John Sculley ซึ่งเป็น CEO ของบริษัท Pepsi ณ ขณะนั้นว่า “คุณต้องการที่จะใช้ชีวิตที่เหลือไปกับการขายน้ำหวานหรือต้องการโอกาสที่จะเปลี่ยนแปลงโลกนี้กันแน่”

และในช่วงเวลาไล่เลี่ยกันนี้นี่เอง ที่ยักษ์ใหญ่อย่าง IBM ก็ลงเข้ามาเล่นตลาดคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลอย่างเต็มรูปแบบ ทำให้ส่วนแบ่งทางการตลาดของ Apple ลดลงอย่างเห็นชัด

โดนบีบออกจาก CEO

เขาโดนบีบให้ออกจากตำแหน่ง CEO ในปีเดียวกันนี้นี่เอง ที่เขาได้ดึงตัวพนักงานจาก Apple มาอีกประมาณ 5 คน เพื่อมาก่อตั้งบริษัทใหม่ใน โดยใช้ชื่อว่า NeXT ซึ่งเป็นบริษัทผลิตคอมพิวเตอร์ที่มีเทคโนโลยีสุดล้ำ 

และในปี 1986 สตีฟ จอบส์ ได้ขอซื้อตัวทีมกราฟฟิคของบริษัท Lucasfilm เป็นจำนวน 10 ล้านดอลล่าร์ฯ เพื่อแยกตัวออกมาเปิดบริษัทใหม่นามว่า Pixar ซึ่งเขาได้นำมาปัดฝุ่นใหม่ กลายเป็นสตูดิโอผลิตหนังการ์ตูนแอนิเมชั่น ที่เปิดตัวเรื่องแรกที่ชื่อ Toy Story

ที่สามารถทำรายได้ได้อย่างมหาศาล จนกระทั่งดิสนีย์ได้เข้าซื้อกิจการด้วยมูลค่ากว่า 7.4 พันล้านดอลล่าร์ฯ ซึ่งแลกกับการให้ สตีฟ จอบส์เข้าถือหุ้นในบริษัท Walt Disney ถึง 7% กลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ที่สุดในบริษัททันที 

ในปี 1989 Steve Jobs ในวัย 34 ปี ที่เคยใช้ชีวิตแบบเสเพลย์ ก็เลิกความเป็น Playboy ลง แล้วได้ตั้งต้นชีวิตครอบครัวใหม่ โดยได้พบรักกับ Laurene Powell จนกระทั่งทั้งคู่ได้แต่งงานกัน และได้พา Lisa(Lisa Nicole Brennan-Jobs) ลูกสาวของเขาในช่วงวัยรุ่นมาเลี้ยงดูเป็นอย่างดี และต่อมาทั้งคู่ก็ได้มีลูกด้วยกันอีก 3 คนคือ Reed Jobs(September 1991), Erin Jobs(August 1995) และ Eve Jobs(1998)

จนกระทั่งบริษัท Apple เริ่มเกิดวิกฤตที่บริษัทกำลังตกอยู่ในภาวะที่ย่ำแย่เป็นอย่างมาก จนในปี 1996 บริษัท Apple จึงตัดสินใจเข้าซื้อกิจการของ NeXT ไปด้วยมูลค่ากว่า 429 ล้านดอลล่าร์ฯ เพื่อที่จะดึงตัว สตีฟ จอบส์ กลับมาบริหารที่ Apple

Comeback มารับตำแหน่ง

และในปี 1997 Steve Jobs ก็กลับมารับตำแหน่ง CEO อีกครั้ง หลังจากที่โดน Apple ไล่ออกเมื่อ 12 ปีที่แล้ว และหลังจากที่เขาถูกเรียกตัวกลับมากอบกู้  บริษัท Apple สิ่งแรกที่เขาทำก็คือ เขาสั่งปลดคณะกรรมการบริหารชุดเก่าออกเกือบทั้งหมด เพราะเขาเชื่อว่า ถ้าผู้นำชุดเก่าบริหารได้ดี บริษัทก็คงไม่เกิดปัญหาเหล่านี้

และ สตีฟ จ็อบส์ ก็ต้องการสร้างความเชื่อมั่นกลับคืนมา จึงต้องเร่งสร้างภาพพจน์ที่ดีให้แก่บริษัท ในฐานะ CEO เขาตัดสินใจเข้าไปเจรจากับ Bill Gates ผู้ก่อตั้ง Microsoft เพื่อเสนอให้มาลงทุนใน Apple ด้วยเงินจำนวน 150 ล้านดอลล่าร์ฯ โดยมีข้อตกลงกันว่า ทาง Microsoft ยินยอมที่จะให้ใช้ Microsoft Office ในเครื่อง Mac เป็นเวลา 5 ปี และทาง Apple เองก็จะทำให้ Internet Explorer เป็นเว็บบราวเซอร์เริ่มต้นในเครื่อง Mac เช่นกัน

ซึ่งข้อตกลงก็เป็นไปได้ด้วยดี เพราะได้ประโยชน์กันทั้งสองฝ่าย และทาง Microsoft เองก็เล็งเห็นว่า จะทำให้คู่แข่งอย่าง Apple อ่อนแอลง และไม่ผูกขาดทางการตลาดไปซะก่อน และในระหว่างที่ทาง Apple เองนั้น ก็ได้เงินสดเข้ามาในบริษัทเป็นจำนวนมาก จึงทำให้รอดพ้นจากวิกฤตการล้มละลาย

ในปี 1998 หลังจากที่ Apple ได้เทคโนโลยีของ NeXT มาแล้ว จึงเริ่มออกสินค้าใหม่ ๆ เช่น iMac จนกลายเป็นที่นิยม ทาง Apple จึงได้ขยายกิจการด้วยการเปิดตัว iPod เครื่องเล่นเพลง mp3

และเบื้องหลังความสำเร็จของ iPod นั้นก็คือ iTune ที่เป็นแพลตฟอร์มสำหรับโหลดเพลงดิจิตอล ซึ่งในสมัยนั้น ใคร ๆ ต่างก็ไม่เชื่อว่า ค่ายเพลงจะยินยอมเรื่องของลิขสิทธิ์เพลง จากในแผ่นซีดีมาลงระบบออนไลน์ได้ แต่ด้วยความที่ Steve Jobs นั้นมองการณ์ไกล จึงทำให้แม้ว่าเจ้าอื่น ๆ จะทำเครื่องฟังเพลงออกมา แต่ก็สู้ไม่ได้ เพราะไม่มีแพลตฟอร์มอย่าง iTune ที่หนุนอยู่เบื้องหลัง

ในเวลาต่อมา Steve Jobs ก็ยังได้ขยายกิจการด้วยการออก iPhone และ iPad ออกมา ซึ่งกลายเป็นนวัตกรรมใหม่ ที่ไม่มีใครกล้าทำมาก่อน นั่นก็คือ กลายเป็นปรากฏการณ์ของสมาร์ทโฟน ที่ไม่มีปุ่มกด แต่ใช้ระบบสัมผัสแทน ทำให้ผู้ผลิตมือถือยักษ์ใหญ่หลายเจ้าต้องสั่นคลอน เพราะเชื่อมั่นมากเกินไปว่าโทรศัพท์ที่ตนเองมีอยู่นั้นเจ๋งมากพอแล้ว จนทำให้หลาย ๆ บริษัทค่ายยักษ์ใหญ่ของมือถือหลายเจ้าต้องปิดตัวลง เพียงเพราะไม่สามารถปรับตัวเองให้เข้ากับเทคโนโลยีในยุคปัจจุบันได้

ซึ่งในระหว่างที่ Steve Jobs บริหารอยู่ที่ Apple นี้ เขาขอรับค่าจ้าง เพียงปีละ 1 ดอลล่าร์สหรัฐฯ เท่านั้น ว่าง่าย ๆ ก็คือ ขอค่าจ้างเพียง 30 บาทต่อปี ทำให้เขาถูกบันทึกสถิติลงกินเนสบุ๊คว่า เป็นผู้บริหารระดับสูงที่มีรายได้น้อยที่สุดในโลก

แต่กระนั้นเหล่าบรรดาคณะกรรมการผู้บริหาร ก็ได้ตอบแทนโดยการให้เครื่องบินเจ็ตส่วนตัวแก่ สตีฟ จอบส์ ที่มีมูลค่ากว่า 90 ล้านดอลล่าร์ฯ และได้รับปัญผลเป็นหุ้นของบริษัทอีกหลายล้านดอลล่าร์ฯ

แต่ในปี 2004 Steve Jobs ก็ถูกตรวจพบว่า เขาเป็นมะเร็งตับอ่อนระยะสุดท้าย โดยแพทย์ระบุว่า เอาอาจเหลือเวลาในโลกนี้เพียง 3-6 เดือนเท่านั้น ในเดือนกรกฎาคม ปี 2004 เขาจึงตัดสินใจที่จะเข้ารับการผ่าตัด แม้ว่าจะยืดอายุเขาไปได้อีกสักพักใหญ่ ๆ แต่สุขภาพโดยรวมของเขานั้นก็ค่อย ๆ ทรุดลงเรื่อย ๆ และได้ขอลาออกจากตำแหน่ง CEO ในเดือนสิงหาคม ปี 2011 และจากโลกนี้ไปอย่างสงบในวันที่ 5 ตุลาคม ปี 2011 ในวัย 56 ปี ด้วยโรคมะเร็งตับอ่อน หลังจากที่ Apple ประกาศตัวเปิด IPhone 4S ได้เพียงแค่วันเดียวเท่านั้น

ปัจจุบันบริษัท Apple ยังคงเป็นบริษัทที่สร้างผลกำไรเป็นกอบเป็นกำ และยังถูกยกย่องว่าเป็นบริษัทที่มีศิลปะสร้างสรรค์ ผนวกเทคโนโลยีที่ลงตัว จนกลายเป็นบริษัทอันดับหนึ่งที่สำคัญของโลกในธุรกิจคอมพิวเตอร์ในปัจจุบัน

ถือว่าเป็นความรู้ที่ดีมากๆเลยครับ ซึ่งทำให้เรารู้ว่าเขาต้องผ่านอะไรมามากมายก่อนที่จะประสบความสำเร็จ แม้ว่าจะไม่ได้อยู่บนโลกนี้แล้ว แต่เขาก็เป็นคนนึกที่พลิกวงการไอทีบนโลกได้ 

ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่ TOMITECH